5.4
รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of Cooperative
Learning)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนของแนวคิดแบบร่วมมือ
พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการเรียนรู้ แบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974: 213-240)ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า
ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกัน
เพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์แพ้ชนะ
ต่างจากการร่วมมือกันซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ชนะ-ชนะ
อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้ง ทางด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ
5 ประการประกอบด้วย
(1) การเรียนรู้ต้อง อาศัยหลักพึ่งพากันโดยถือว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึงพากันเพื่อความสำเร็จ
ร่วมกัน
(2)
การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน
มีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่าง ๆ
(3)
การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม โดยเฉพาะ ทักษะในการทำงานร่วมกัน
(4)
การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มที่ใช้ในการ ทำงาน
(5)
การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถ
ตรวจสอบและวัดประเมินได้ หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน
นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ
ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้วยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียน
ทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย
รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่ จeเป็นต่อการด ารงชีวิตอีกมาก
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง
ด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและ ความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะสังคมต่าง ๆ เช่นทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด การ
แก้ปัญหาและอื่น ๆ ค.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ
ซึ่งแต่ละ รูปแบบจะมีวิธีการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ
การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัลแตกต่างกันออกไป
เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน
คือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปใน
ทิศทางเดียวกัน
คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือ
กัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน
ความแตกต่างของรูปแบบแต่ ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ
และวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการ สำคัญ เพื่อความกระชับในการนำเสนอ ผู้เขียนจึงจะนำเสนอกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ทั้ง 6 รูปแบบต่อเนื่องกันดังนี้
1. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์(Jigsaw)
1.1จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ
(เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
1.2
สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน
(เปรียบเสมือนได้ชิ้นส่วนภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น) และหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมาย
ให้
1.3
สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่น
ซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกัน ตั้ง เป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ(expert group) ขึ้นมา และร่วมกันทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่าละเอียด
และร่วมกันอภิปรายหาคำตอบประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
1.4
สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละคนช่วยสอนเพื่อนในกลุ่มให้
เข้าใจในสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เช่นนี้
สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของ สาระทั้งหมด
1.5 ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และนำคะแนนของ
ทุกคนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน(หรือหาค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับ รางวัล
2. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส. ที. เอ.
ดี. (STAD)
คำว่า “STAD” เป็นตัวย่อของ “Student Teams – Achievement Division” กระบวนการด าเนินการมีดังนี้
2.1
จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
2.2
สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระนั้นร่วมกัน เนื้อหา
สาระนั้นอาจมีหลายตอน ซึ่งผู้เรียนอาจต้องทำแบบทดสอบในแต่ละตอนและเก็บคะแนนของตนไว้
2.3 ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบครั้งสุดท้าย
ซึ่งเป็นการทดสอบรวบยอดและนำคะแนนของ ตนไปหาคะแนนพัฒนาการ ซึ่งหาได้ดังนี้
คะแนนพื้นฐาน: ได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบย่อยหลาย ๆ ครั้งที่ผู้เรียนแต่ละคนทำได้
คะแนนที่ได้: ได้จากการนำคะแนนทดสอบครั้งสุดท้ายลบคะแนนพื้นฐาน คะแนนพัฒนาการ: ถ้าคะแนนที่ได้คือ -11
ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 0 -1 ถึง -10 คะแนนพัฒนาการ = 10 +1 ถึง 10 คะแนนพัฒนาการ
= 20 + 11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 30 2.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราน
าคะแนนพัฒนาการของแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็น คะแนนของกลุ่ม
กลุ่มใดได้คะแนนพัฒนาการของกลุ่มสูงสุด กลุ่มนั้นได้รางวัล
3.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. เอ. ไอ. (TAI)
คำว่า “TAI” มาจาก “Team –Assisted Individualization” ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
3.1
จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
3.2
สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน
3.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา
จับคู่กันทำแบบฝึกหัด ก.ถ้าใครทำแบบฝึกหัดได้ 75%
ขึ้นไปให้ไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้ายได้ ข.ถ้ายังทำแบบฝึกหัดได้ไม่ถึง 75%
ให้ทำแบบฝึกหัดซ่อมจนกระทั่งทำได้ แล้วจึงไป รับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้าย
3.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแต่ละคนนำคะแนนทดสอบรวบยอดมารวมกันเป็นคะแนน
ของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนสูงสุดกลุ่มนั้นได้รับรางวัล
4. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. จี. ที. (TGT)
ตัวย่อ “TGT” มาจาก”Team Game Tournament” ซึ่งมีการด
าเนินการดังนี้
4.1
จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า
กลุ่มบ้านของเรา (home group)
4.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา
ได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน
4.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา
แยกย้ายกันเป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่มอื่นโดยจัดกลุ่ม แข่งขันตามความสามารถ
คือคนเก่งในกลุ่มบ้านของเราแต่ละกลุ่มไปรวมกัน คนอ่อนก็ไปรวมกับคน
อ่อนของกลุ่มอื่น กลุ่มใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่มแข่งขัน กำหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ
4 คน
4.4 สมาชิกในกลุ่มแข่งขัน
เริ่มแข่งขันกันดังนี้
ก.
แข่งขันกันตอบคำถาม 10 คำถาม
ข.
สมาชิกคนแรกจับคำถามขึ้นมา 1 คำถาม และอ่านคำถามให้กลุ่มฟัง
ค.
ให้สมาชิกที่อยู่ซ้ายมือของผู้อ่านคำถามคนแรกตอบคำถามก่อน ต่อไปจึงให้คน
ถัดไปตอบจนครบ
ง. ผู้อ่านคำถามเปิดคำตอบ
แล้วอ่านเฉลยคำตอบที่ถูกให้กลุ่มฟัง
จ. ให้คะแนนคำตอบดังนี้
ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกได้ 2 คะแนน
ผู้ตอบถูกคนต่อไปได้ 1 คะแนน ผู้ตอบผิดได้ 0 คะแนน
ฉ.
ต่อไปสมาชิกคนที่ 2 จับคำถามที่ 2 และเริ่มเล่นตามขั้นตอน ข-จ ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งคำถามหมด
ช.
ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง ผู้ได้คะแนนอันดับ
1 ได้โบนัส 10 คะแนน ผู้ได้คะแนนอันดับ 2 ได้โบนัส 8 คะแนน
ผู้ได้คะแนนอันดับ 3 ได้โบนัส 5
คะแนน ผู้ได้คะแนนอันดับ 4 ได้โบนัส 4 คะแนน
4.5 เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว
สมาชิกกลุ่มกลับไปกลุ่มบ้านของเรา แล้วนำคะแนนที่แต่ละคนได้ รวมเป็นคะแนนของกลุ่ม
5. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล. ที. (L.T)
“L.T.” มาจากค าว่า Learning
Together ซึ่งมีกระบวนการที่ง่ายไม่ซับซ้อน ดังนี้
5.1
จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
5.2 กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน
ศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วย กลุ่มในการเรียนรู้
ตัวอย่างเช่น สมาชิกคนที่ 1: อ่านคำสั่ง
สมาชิกคนที่ 2: หาคำตอบ
สมาชิกคนที่ 3: หาคำตอบ สมาชิกคนที่
4: ตรวจคำตอบ
5.3 กลุ่มสรุปคำตอบร่วมกัน และส่งคำตอบนั้นเป็นผลงานกลุ่ม
5.4 ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร
สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนนั้นเท่ากันทุกคน
6.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี. ไอ. (G.I.)
“G.I.” คือ “Group Investigation”
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันไป
สืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน โดยดำเนินการเป็นขั้นตอนดังนี้
6.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ
(เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
6.2
กลุ่มย่อยศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกันโดย
ก.
แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ แล้วแบ่งกันไปศึกษาหาข้อมูลหรือค าตอบ
ข.
ในการเลือกเนื้อหา ควรให้ผู้เรียนอ่อนเป็นผู้เลือกก่อน
6.3 สมาชิกแต่ละคนไปศึกษาหาข้อมูล/คำตอบมาให้กลุ่ม
กลุ่มอภิปรายร่วมกันและสรุปผล การศึกษา
6.4
กลุ่มเสนอผลงานของกลุ่มต่อชั้นเรียน
7. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)
รูปแบบ CIRC หรือ “Cooperative Integrated Reading and Composition” เป็น
รูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ
รูปแบบนี้ประกอบด้วย กิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน
การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูร ณาการภาษากับการเรียน โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้(Slavin, 1995: 104-110)
7.1
ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่
2 คน หรือ 3 คน ทำกิจกรรมการอ่านแบบเรียนร่วมกัน
7.2
ครูจัดทีมใหม่โดยให้นักเรียนแต่ละทีมต่างระดับความสามารถอย่างน้อย 2 ระดับ ทีมทำกิจกรรมร่วมกัน
เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้
คะแนนของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น “ซุปเปอร์ทีม” หากได้คะแนนตั้งแต่ 80-89%
ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา
7.3 ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20
นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ ใหม่ ๆ ทบทวนศัพท์เก่า
ต่อจากนั้นครูจะกำหนดและแนะนำรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ
ตามที่ผู้เรียนจัดเตรียมไว้ให้
เช่นอ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังและช่วยกันแก้ จุดบกพร่อง หรือครูอาจจะให้นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
วิเคราะห์ตัวละครวิเคราะห์ปัญหาหรือ ทำนายว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปเป็นต้น
7.4 หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเรื่องที่อ่าน
โดยครูจะเน้นการฝึกทักษะต่าง ๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปัญหา การทำนาย
เป็นต้น
7.5 นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ
นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้ง รายบุคคลและทีม
7.6
นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับ
ใจความสำ คัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็นต้น
7.7
นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียนได้
ตามความสนใจ
นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่องและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุด
ตีพิมพ์ผลงานออกมา
7.8
นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ
และเขียนรายงานเรื่องที่อ่านเป็น รายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้าน
โดยมีแบบฟอร์มให้ 8. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction) รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดย เอลิซาเบธ
โคเฮน และคณะ (Elizabeth Cohen)
เป็นรูปแบบที่ คล้ายคลึงกับรูปแบบ จี. ไอ. เพียงแต่จะสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการทำเป็นรายบุคคล
นอกจากนั้นงานที่ให้ยังมีลักษณะของการประสานสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทักษะหลายประเภท
และ เน้นการให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล
โดยการจัดงานให้เหมาะสมกับความสามารถและ ความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน
ดังนั้นครูต้องค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผู้เรียนที่อ่อน โคเฮน เชื่อว่า
หากผู้เรียนได้รับรู้ว่าตนมีความถนัดในด้านใด
จะช่วยให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง ในด้านอื่น ๆ ด้วย
รูปแบบนี้จะไม่มีกลไกการให้รางวัล เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ได้ออกแบบให้งานที่แต่
ละบุคคลทำสามารถสนองตอบความสนใจของผู้เรียนและสามารถจูงใจผู้เรียนแต่ละคนอยู่แล้ว
ง.
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและช่วยเหลือจาก
เพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทักษะการทำงาน ร่วมกับผู้อื่น ทักษะการประสานสัมพันธ์ ทักษะการคิด
ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการแก้ปัญหา ฯลฯ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น