1.รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์ โดย สุมน
อมรวิวัฒน์
ก.
ทฤษฎี/แนวคิด/หลักการของรูปแบบ
(สุมน อมรวิวัฒน์)
สุมน อมรวิวัฒน์ (2533: 168-170) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นมาจาก
แนวคิดที่ว่า การศึกษาที่แท้ควรสอดคล้องกับการดำเนินชีวิต
ซึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข
ความสมหวังและความผิดหวังต่าง ๆ
การศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะ เผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ
เหล่านั้น และสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้น โดย
(1) การเผชิญ ได้แก่ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะที่ต้องเผชิญ
(2) การผจญ
คือการเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับปัญหาอย่างถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมและมีหลักการ
(3) การผสมผสาน
ได้แก่การเรียนรู้ที่จะผสมผสานวิธีการต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาให้สำเร็จ
(4) การเผด็จ คือการแก้ปัญหาให้หมดไป
โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสืบเนื่องต่อไปอีก
สุมน อมรวิวัฒน์ ได้นำแนวคิดดังกล่าวผสมผสานกับหลักพุทธธรรมเกี่ยวกับการ
สร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ และจัดเป็นกระบวนการเรียนการสอนขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการจัดการ
เรียนการสอน
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและทักษะกระบวนการต่าง
ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด (โยนิโสมนสิการ) กระบวนการเผชิญสถานการณ์
กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการประเมินค่าและตัดสินใจ กระบวนการสื่อสาร ฯลฯ
รวมทั้งพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ใน การแก้ปัญหาและการดำรงชีวิต
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
กระบวนการด าเนินการมีดังนี้(สุมน
อมรวิวัฒน์, 2533: 170-171; 2542:
55-146)
1. ขั้นนำ การสร้างศรัทธา
1.1 ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาของ
บทเรียน และเร้าใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของบทเรียน
1.2
ผู้สอนสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน แสดงความรัก ความเมตตา ความจริงใจ
ต่อผู้เรียน
2. ขั้นสอน
2.1 ผู้สอนหรือผู้เรียนนำเสนอสถานการณ์ปัญหา
หรือกรณีตัวอย่าง มาฝึกทักษะการ คิดและการปฏิบัติในกระบวนการเผชิญสถานการณ์
2.2
ผู้เรียนฝึกทักษะการแสวงหาและรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้และหลักการ ต่าง ๆ
โดยฝึกหัดการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารกับแหล่งอ้างอิงหลาย ๆ แหล่ง และตรวจสอบลักษณะ
ของข้อมูลข่าวสารว่าเป็นข้อมูลข่าวสารที่ง่ายหรือยาก ธรรมดาหรือซับซ้อน
แคบหรือกว้าง คลุมเครือ หรือชัดเจน มีความจริงหรือความเท็จมากกว่า
มีองค์ประกอบเดียวหรือหลายองค์ประกอบ มีระบบ หรือยุ่งเหยิงสับสน มีลักษณะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม
มีแหล่งอ้างอิงหรือเลื่อนลอย มีเจตนาดีหรือ ร้าย
และเป็นสิ่งที่ควรรู้หรือไม่ควรรู้
2.3 ผู้เรียนฝึกสรุปประเด็นสำคัญ
ฝึกการประเมินค่า เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาว่า ทางใดดีที่สุด โดยใช้วิธีคิดหลาย ๆ
วิธี (โยนิโสมนสิการ) ได้แก่ การคิดสืบสาวเหตุปัจจัย การคิดแบบ แยกแยะส่วนประกอบ
การคิดแบบสามัญลักษณ์ คือคิดแบบแก้ปัญหา คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คือ
คิดให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหลักการและความมุ่งหมาย คิดแบบคุณโทษทางออก
คิดแบบคุณค่า แท้-คุณค่าเทียม คิดแบบใช้อุบายปลุกเร้าคุณธรรม
และคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน
2.4
ผู้เรียนฝึกทักษะการเลือกและตัดสินใจ โดยฝึกการประเมินค่าตามเกณฑ์ที่ ถูกต้อง
ดีงาม เหมาะสม ฝึกการวิเคราะห์ผลดี ผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากทางเลือกต่าง ๆ
และฝึกการใช้หลักการ ประสบการณ์ และการทำนาย มาใช้ในการเลือกหาทางเลือกที่ดีที่สุด
2.5
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติตามทางเลือกที่ได้เลือกไว้ ผู้สอนให้คำปรึกษาแนะนำฉันท์กัลยาณมิตร
โดยปฏิบัติให้เหมาะสมตามหลักสัปปุริสธรรม 7
3. ขั้นสรุป
3.1 ผู้เรียนแสดงออกด้วยวิธีการต่าง
ๆ เช่น การพูด การเขียน แสดง หรือกระทำใน รูปแบบต่าง ๆ
ที่เหมาะสมกับความสามารถและวัย
3.2
ผู้เรียนและผู้สอนสรุปบทเรียน
3.3
ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
ง.
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาความสามารถในการเผชิญปัญหา
และสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่าง เหมาะสม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น