5.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง (Storyline Method)
ก.
ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสร้างเรื่อง พัฒนาขึ้นโดย ดร. สตีฟ เบ็ลและแซลลี่ ฮาร์คเนส
(Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์
เขามีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า (อรทัย มูลค า และคณะ, 2541: 34-35)
1)
การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการหรือเป็นสหวิทยาการคือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสาน
ศาสตร์หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการประยุกต์ใช้ในการทำงานและการดำเนิน
ชีวิตประจำวัน
2)
การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางประสบการณ์ตรงหรือการกระทำหรือการมี
ส่วนร่วมของผู้เรียนเอง
3)
ความคงทนของผลการเรียนรู้
ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการที่ได้ความรู้มา
4)
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้ หากมีโอกาสได้ลงมือกระทำนอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว
การเรียนการสอนโดยวิธีการสร้างเรื่องนี้ยังใช้หลักการเรียนรู้
และการสอนอีกหลายประการ เช่นการเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปสู่วิถีชีวิตจริง
การสร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเอง และการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
จากฐานความเชื่อและหลักการดังกล่าว สตีฟ เบ็ล
(ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาและโลกศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542: 4) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่มีลักษณะ
บูรณาการเนื้อหาหลักสูตรและทักษะการเรียนจากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน
โดยให้ผู้เรียนได้ สร้างสรรค์เรื่องขึ้นด้วยตนเอง โดยผู้สอนทำหน้าที่วางเส้นทางเดินเรื่องให้
การดำเนินเรื่องแบ่งเป็นตอน ๆ (episode)
แต่ละตอนประกอบด้วยกิจกรรมย่อยที่เชื่อมโยงกันด้วยคำถามหลัก (key question) ลักษณะของคำ ถามหลักที่เชื่อมโยงเรื่องราวให้ด
าเนินไปอย่างต่อเนื่องมี 4 คำถามได้แก่ ที่ ไหน ใคร ทำอะไร/อย่างไร และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ผู้สอนจะใช้คำถามหลักเหล่านี้เปิดประเด็น
ให้ผู้เรียนคิดร้อยเรียงเรื่องราวด้วยตนเอง
รวมทั้งสร้างสรรค์ชิ้นงานประกอบกันไป การเรียนการสอน
ด้วยวิธีการดังกล่าวจึงช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์และความคิดของตนอย่างเต็มที่
และมี โอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกัน อภิปรายร่วมกัน
และเกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยพัฒนาความรู้
ความเข้าใจและเจตคติของผู้เรียนในเรื่องที่เรียนรวมทั้งทักษะกระบวนต่าง ๆ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการ สื่อสาร เป็นต้น ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
การเรียนการสอนตามรูปแบบนี้จำเป็นต้องมีการวางแผนและจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์
ล่วงหน้า โดยดำเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การกำหนดเส้นทางเดินเรื่องให้เหมาะสม ผู้สอนจำเป็นต้องวิเคราะห์จุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร
และเลือก
หัวเลือกให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระของหลักสูตรที่ต้องการจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
และจัดแผนการ สอนในรายละเอียด เส้นทางเดินเรื่อง ประกอบด้วย 4 องก์ (episode) หรือ 4 ตอนด้วยกัน คือ ฉาก ตัวละคร
วิถีชีวิตและเหตุการณ์ ในแต่ละองก์
ผู้สอนจะต้องกำหนดประเด็นหลักขึ้นมาแล้วตั้งเป็น คำถามนำให้ผู้เรียนศึกษาหาคำตอบ
ซึ่งคำถามเหล่านี้จะโยงไปยังคำตอบที่สัมพันธ์กับเนื้อหาวิชาต่าง ๆ
ที่ประสงค์จะบูรณาการเข้าด้วยกัน
ขั้นที่ 2 การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนดำเนินการตามแผนการสอนไปตามลำดับ
การเรียนการสอนแบบนี้ อาจใช้ เวลาเพียงไม่กี่คาบ
หรือต่อเนื่องกันเป็นภาคเรียนก็ได้ แล้วแต่หัวเรื่องและการบูรณาการว่าสามารถทำได้ครอบคลุมเพียงใด
แต่ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ภาคเรียน เพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ในการ เริ่มกิจกรรมใหม่
ผู้สอนควรเชื่อมโยงกับเรื่องที่ค้างไว้เดิมให้สานต่อกันเสมอ และควรให้ผู้เรียนสรุป
ความคิดรวบยอดของแต่ละกิจกรรม ก่อนจะขึ้นกิจกรรมใหม่ นอกจากนั้นควรกระตุ้นให้ผู้เรียนศึกษา
ค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนชื่นชมผลงานของกันและกัน
และได้ ปรับปรุงพัฒนางานของตน
ขั้นที่ 3 การประเมิน
ผู้สอนใช้การประเมินผลตามสภาพที่แท้จริง (authentic
assessment) คือการ ประเมินจากการสังเกต การบันทึก
และการรวบรวมข้อมูลจากผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน
การประเมินจะไม่เน้นเฉพาะทักษะพื้นฐานเท่านั้น แต่จะรวมถึงทักษะการคิด การท างาน
การร่วมมือการแก้ปัญหา และอื่น ๆ การประเมินให้ความสำคัญในการประสบผลสำเร็จในการทำงานของผู้เรียน
แต่ละคน มากกว่าการประเมินผลการเรียนที่มุ่งให้คะแนนผลผลิตและจัดลำดับที่เปรียบเทียบกับกลุ่ม
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจาการเรียนรู้ตามรูปแบบ ผู้เรียนจะเกิดความรู้
ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และ สังเคราะห์ได้
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น